Continental ตอกย้ำความเป็นผู้นำยางรถอีวีในงาน Bangkok Motor Show ชูนวัตกรรมช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ หนุนตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโตอย่างต่อเนื่อง


  • ยอดจดทะเบียนใหม่ปี 2566 ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในประเทศไทย เติบโตกว่า 104.81% เทียบกับปี 2565 อีกทั้งแบรนด์รถยนต์ที่เข้าร่วมงานมอเตอร์โชว์ 2024 มีจำนวนถึง 36 แบรนด์
  • คอนติเนนทอล พร้อมสนับสนุน EV Ecosystem ในประเทศไทย มุ่งพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อยานยนต์และยางรถยนต์ที่รองรับการขับขี่ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้งานรถยนต์กลุ่มนี้โดยเฉพาะ 
  • ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำระดับโลก เช่น Mercedes-Benz, BMW , KIA, Honda, BYD, MG, Zeekr, Avatr และอื่น ๆ ต่างเจาะจงเลือกใช้ยางรถยนต์ของคอนติเนนทอล ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
  • คอนติเนนทอล ยกระดับนวัตกรรมทุกกลุ่มธุรกิจสู่ความยั่งยืน พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ในปี 2593

 
กระแสรถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยในปี 2567 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากค่ายรถแบรนด์ต่าง ๆ ที่ยกทัพยนตรกรรมไฟฟ้ามาเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ 2024 อย่างคับคั่ง ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบาย 30@30 ของภาครัฐที่มีเป้าหมายเพื่อผลักดันประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) อีกทั้งค่านิยมของผู้คนยุคใหม่ที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้าก็เป็นไปในเชิงบวกมากขึ้น คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก และคอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียานยนต์และยางรถยนต์ระดับโลกจากเยอรมนี จึงได้มุ่งพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ของยางรถยนต์ ทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเสนอโซลูชั่นที่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้งานของผู้ขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าในทุกมิติ

มร. คาเรล คูเซรา (Mr. Karel Kucera) กรรมการผู้จัดการ คอนติเนนทอล ไทร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า “สิ่งที่คอนติเนนทอลให้ความสำคัญในการผลิตยางรถยนต์เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ได้แก่ ความปลอดภัย ความยั่งยืน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงนวัตกรรมที่ทันสมัย เพราะยางรถยนต์ถือเป็นธุรกิจที่แปรผันตรงกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ดังนั้น การจับตามองเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมนี้จึงถือเป็นโจทย์หลักของเราที่จะนำมาพัฒนานวัตกรรมยางรถยนต์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นเทรนด์ที่มาแรงและสร้างความตื่นตัวให้กับเหล่าค่ายรถต่าง ๆ อ้างอิงได้จากงานมอเตอร์โชว์ 2024 ในขณะนี้ ที่มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าจากค่ายรถที่เคยผลิตรถยนต์สันดาป รวมถึงมีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเข้าร่วมงานมากมายที่เลือกใช้ยางคอนติเนนทอล เช่น Rolls Royce, Mercedes-Benz, BMW, Mini, Audi, KIA, Honda, Nissan, BYD, GWM, MG รวมถึงแบรนด์ใหม่อย่าง Zeekr, Avatr และ Vinfast เป็นต้น”

โดยภายในงานมีรถยนต์หลายรุ่นเลือกใช้ยางคอนติเนนทอลเป็นยางที่ประกอบจากโรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรถยนต์อีวี ทั้งรุ่นปัจจุบันและรุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวไม่น้อยกว่า 20 รุ่น ล้วนเจาะจงเลือกใช้ยางคอนติเนนทอลเพื่อสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมในการขับขี่

ในปีนี้ คอนติเนนทอล ได้นำเสนอยางรถยนต์ที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์รถยนต์ไฟฟ้าถึง 4 รุ่น

  1. Conti EcoContact 6 ยางที่ให้อัตราการหมุนได้ดียิ่งขึ้น ขับขี่ได้ระยะทางมากกว่าเมื่อเทียบกับยางทั่วไป และเป็นรุ่นที่ค่ายรถยนต์ชั้นนำเลือกใช้สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
  2. Conti MaxContact 7 ยางสปอร์ตที่จะเปลี่ยนการขับขี่ประจำวันให้เป็นความสนุกยิ่งขึ้น พร้อมรองรับแรงบิดของรถแบบ EV ได้เป็นอย่างดี ให้ทุกการออกตัวและการเบรกคือความมั่นใจ
  3. Conti SportContact 7 ขีดสุดแห่งยางสปอร์ตที่รถอีวีระดับพรีเมี่ยมเลือกใช้ สามารถใช้ได้ทั้งบนถนนทั่วไปและในสนามแข่ง ให้การตอบสนองที่ดีเยี่ยม และเป็นยางที่ได้รับรางวัลมากมายจากสื่อยานยนต์ชั้นนำ
และเร็ว ๆ นี้ เตรียมพบกับยางรุ่นใหม่ล่าสุด Conti eContact ยางที่ถูกออกแบบเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ พร้อมนวัตกรรมพิเศษอย่าง ContiSeal™ ที่จะช่วยอุดรอยรั่วได้ทันที ตอบโจทย์รถยนต์ไฟฟ้ายุคปัจจุบันที่ไม่มียางอะไหล่ติดตั้งมา

อย่างไรก็ตาม ยางรถยนต์คอนติเนนทอลทุกรุ่นสามารถรองรับการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มสมรรถนะ ทั้งในด้านความทนทานต่อแรงบิด การรองรับน้ำหนัก เพิ่มการยึดเกาะกับพื้นถนน และยังช่วยลดแรงต้านทำให้วิ่งได้ไกลมากขึ้น นอกเหนือจากคุณสมบัติอันโดดเด่นเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความปลอดภัยในทุกเส้นทางแล้ว คอนติเนนทอลยังให้ความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืน ภายใต้แนวคิดกระบวนการผลิตแบบ Conti GreenConcept ที่นำเอาของเหลือทิ้งทางการเกษตร โพลีเอสเตอร์จากขวด PET รีไซเคิลและวัตถุดิบหมุนเวียนรีไซเคิลอื่น ๆ มาผลิตเป็นยางรถยนต์ในรุ่น UltraContact NXT ซึ่งถือว่าเป็นยางรถยนต์รุ่นแรกของโลกที่ผลิตจากวัสดุหมุนเวียนและให้ประสิทธิภาพได้เต็มสมรรถนะเช่นเดียวกันกับรุ่นอื่น ๆ ยิ่งเป็นการตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมยางรถยนต์ด้านความยั่งยืนของคอนติเนนทอล

ส่งเสริมธุรกิจทุกภาคส่วน สู่เป้าหมายแห่งการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยียานยนต์และยางรถยนต์ในกลุ่มอีวี

ไม่เพียงแต่การพัฒนานวัตกรรมกลุ่มยางรถยนต์เท่านั้น คอนติเนนทอลยังเดินหน้ายกระดับธุรกิจอื่น ๆ ในทุกภาคส่วนภายใต้หลังคาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีด้านยานยนต์ และกลุ่มธุรกิจคอนติเทค (กลุ่มผลิตภัณฑ์ยางทางเทคนิคและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพลาสติก) โดยการผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ ที่เป็นส่วนประกอบในรถยนต์ไฟฟ้าให้ตอบโจทย์ทุกการใช้งานของผู้ขับขี่ เช่น คาลิปเปอร์เบรก “Green Caliper” เพื่อตอบสนองรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความต้องการหลายด้าน ทั้งการลดการใช้พลังงาน การยืดระยะทางการขับขี่ และการลดแรงเสียดทานของผ้าเบรกกับดิสก์เบรก นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาเซ็นเซอร์รุ่นใหม่ 2 ตัวสำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ได้แก่ Current Sensor Module (CSM) และระบบ Battery Impact Detection (BID) โดยมุ่งเน้นไปที่การปกป้องและรักษาประสิทธิภาพแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

“ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตนี้ได้ส่งผลกระทบทางบวกต่อสังคมไทยในหลายด้าน แน่นอนว่าในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องย่อมเกิดความท้าทายเพิ่มขึ้น เราพร้อมสนับสนุน EV Ecosystem ในประเทศไทย ตามเป้าหมายของนโยบาย 30@30 ในการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV: Zero Emission Vehicle) ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดในปี พ.ศ. 2573 คอนติเนนทอลมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ในทุกกลุ่มธุรกิจให้ตอบสนองต่อการใช้งานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ และเรายังมีเป้าหมายที่จะบรรลุสัดส่วนของวัตถุดิบที่ยั่งยืน 100% ในกระบวนการผลิตรถยนต์ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2593 เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมแห่งการใช้พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อย่างยั่งยืน” มร. คาเรล กล่าวทิ้งท้าย

คอนติเนนทอล ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2414 พัฒนาเทคโนโลยีและบริการที่ก้าวล้ำสำหรับยานยนต์ที่มีการเชื่อมต่อและความยั่งยืนให้กับผู้คนทั่วโลก โดยนำนวัตกรรมยานยนต์ที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ชาญฉลาดและราคาสมเหตุสมผลให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องจักร ตลอดจนการขนส่ง ในปี พ.ศ. 2565 คอนติเนนทอลมียอดขายสูงถึง 39.4 พันล้านยูโร และมีพนักงานกว่า 200,000 คนใน 57 ประเทศทั่วโลก
ใหม่กว่า เก่ากว่า