ออมเดีย (Omdia) เผยแพร่รายงานวิจัยฉบับล่าสุดที่ระบุว่า ตลาดเซมิคอนดักเตอร์ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 ด้วยรายได้รวมที่ 5.957 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าสถิติเดิมเมื่อปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 5.928 แสนล้านดอลลาร์ ทว่าเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ในส่วนของรายได้รวมตลอดปีเท่านั้น เพราะเมื่อพิจารณาเป็นรายไตรมาส พบว่าตลาดเซมิคอนดักเตอร์กลับซบเซาลงติดต่อกัน 4 ไตรมาส โดยรายได้ไตรมาส 4/2565 ลดลง 9% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในช่วงขาลงนี้ ขณะเดียวกัน รายได้ไตรมาส 4/2565 ซึ่งอยู่ที่ 1.324 แสนล้านดอลลาร์ ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 82% ของรายได้ในไตรมาส 4/2564 ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.611 แสนล้านดอลลาร์
ในปี 2564 ทุกภาคส่วนหลักของตลาดเซมิคอนดักเตอร์มีรายได้เพิ่มขึ้นในอัตราหลักสิบ ตั้งแต่การเติบโต 11% สำหรับภาคการสื่อสารผ่านทางสาย ไปจนถึงการเติบโต 36% สำหรับเซมิคอนดักเตอร์ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ส่วนรายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2565 มาพร้อมความผันผวน โดยตลาดเซมิคอนดักเตอร์ยานยนต์พุ่งขึ้นถึง 21% เมื่อเทียบรายปี แต่ตลาดการประมวลผลข้อมูลกลับร่วงลง 6% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากอุปสงค์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อื่น ๆ อ่อนกำลังลง
ตลาดหน่วยความจำได้รับผลกระทบมากที่สุดในช่วงขาลงนี้ โดยหลังจากที่โกยรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 4.65 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3/2564 รายได้ในไตรมาส 4/2565 กลับคิดเป็นสัดส่วนเพียง 52% ของตัวเลขดังกล่าว โดยอยู่ที่ระดับ 2.41 หมื่นล้านดอลลาร์
คุณลีโน เจิง (Lino Jeng) นักวิเคราะห์อาวุโสฝ่ายหน่วยความจำดีแรม (DRAM) ระบุว่า "ยอดขายที่ลดลงอย่างมากในตลาดหน่วยความจำมีสาเหตุหลักสามประการ หนึ่งคือ อุปสงค์สินค้าไอทีที่ลดลงอย่างรวดเร็วหลังยุคโควิด-19 สองคือ มีสินค้าคงคลังส่วนเกินจากการทุ่มเม็ดเงินลงทุนสูงเป็นประวัติการณ์ของผู้ผลิตหน่วยความจำในช่วงที่เกิดจุดเปลี่ยนด้านอุปสงค์ สามคือ เศรษฐกิจมหภาคหดตัวและอุปสงค์สินค้าไอทีชะลอตัวจากผลพวงของการที่ธนาคารกลางหลายประเทศขึ้นดอกเบี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาส 4/2565 ซึ่งราคาหน่วยความจำลดลงอย่างมากเนื่องจากซัพพลายเออร์พยายามที่จะเพิ่มยอดขายเพื่อลดสินค้าคงคลังส่วนเกิน และออมเดียคาดการณ์ว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปีนี้"
บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีรายได้สูงสุด 2 อันดับแรกยังคงรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้เพียงแค่สลับอันดับกัน แต่รายได้รวมกันกลับลดลงเกือบ 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปี 2564 ขณะที่สองบริษัทหน่วยความจำอย่าง เอสเค ไฮนิกซ์ (SK Hynix) และไมครอน (Micron) ต่างก็หล่นลงมาหนึ่งอันดับ ส่วนควอลคอมม์ (Qualcomm) และบรอดคอม (Broadcom) ขยับขึ้นมาบริษัทละหนึ่งอันดับและติด 5 อันดับแรก ในขณะที่เอเอ็มดี (AMD) กระโดดขึ้นมากที่สุดถึงสามอันดับเมื่อเทียบกับปี 2564 โดยสาเหตุหลักมาจากการเข้าซื้อกิจการไซลิงซ์ (Xilinx) จนรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 5 พันล้านดอลลาร์