ในขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก การสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพถือเป็นปัจจัยความสำเร็จสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยไม่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังในยุคดิจิทัล โดยหากอ้างอิงจากรายงานของธนาคารโลก ธุรกิจสตาร์ทอัพจะช่วยสร้างงานใหม่ได้ถึงสองในสามจากอัตรางานทั้งหมด คิดเป็นอัตราส่วนจีดีพีของทั่วโลกถึง 35% - 50% นอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทยยังมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะทางด้านโทรคมนาคม อีกทั้งหน่วยงานรัฐบาลของไทย กลุ่มพาร์ทเนอร์ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ตลอดจนผู้พัฒนาสินค้าและบริการด้านดิจิทัลของไทย ยังได้ผสานศักยภาพกับธุรกิจสตาร์ทอัพของไทย เพื่อผลักดันให้การพัฒนามีประสิทธิภาพและสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งทางเทคโนโลยีซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญเพื่อรองรับอนาคตดิจิทัลของประเทศในอนาคต
บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะหนึ่งในพาร์ทเนอร์ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก และมุ่งผลักดันการขับเคลื่อนพัฒนาเทคโนโลยีไอซีทีในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เล็งเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของประเทศไทย จึงได้วางจุดยืนในการเป็นพันธมิตรรายแรกของประเทศเพื่อพัฒนาสตาร์ทอัพของไทยอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ หัวเว่ยก็ได้จับมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อจัดโครงการแข่งขัน “Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition” ต่อยอดเป็นปีที่ 3 หลังการเปิดตัวโครงการ HUAWEI Spark Ignite ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2020 ด้วยความพร้อมของหัวเว่ยทั้งด้านเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ การให้คำแนะนำสำหรับสตาร์ทอัพไทยจะช่วยให้พวกเขาเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือจะช่วยสร้างอีโคซิสเต็มระหว่างสตาร์ทอัพ สานสัมพันธ์ระหว่างสตาร์ทอัพกับบริษัทเงินทุนต่างๆ เพื่อร่วมกันพัฒนาสตาร์ทอัพไทยให้ไปไกลถึงระดับโลก
ทั้งนี้ การแข่งขัน “Spark Ignite 2021 Thailand Startup Competition” ในปีที่ผ่านมา ทีม ReverseAds ผู้ให้บริการด้านแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์ที่ใช้เทคโนโลยี Machine Learning จากจังหวัดภูเก็ต ซึ่งคว้ารางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งของประเทศ และยังคว้าแชมป์ระดับโลก นำโดยนายไมเคิล ฮาร์น (Michael Hahn) ประธานกรรมการบริหาร ได้แชร์ประสบการณ์การร่วมงานกับหัวเว่ยในโอกาสที่โครงการได้เปิดตัวอีกครั้งในปีนี้ว่า “หลังจากได้รับรางวัลชนะเลิศ ทีม ReverseAds ได้รับโอกาสที่ตามมามากมาย รวมถึงการได้นำเสนอบริษัทต่อนักลงทุน และบริษัทเงินทุนต่างๆ ทำให้เราสามารถระดมทุนได้มากขึ้นถึง 5 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้การเข้าร่วมโครงการ Huawei Spark program หลังจบการแข่งขัน ยังทำให้เราได้รับความรู้ทั้งในด้านธุรกิจและการใช้เทคโนโลยีของหัวเว่ยคลาวด์ โดยในปีที่ผ่านมาหัวเว่ยยังมีส่วนช่วยให้ ReverseAds พัฒนาทักษะการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จุดเด่นของหัวเว่ยคลาวด์ในด้านความเร็วที่น้อยกว่า 20 มิลลิวินาที รวมถึงจุดตั้งเสาสัญญาณที่มีครอบคลุมทั้งในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคละตินอเมริกา ยังทำให้ ReverseAds สามารถเข้าถึงลูกค้าด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นถึง 18 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งความเร็วในการเข้าถึงลูกค้าถือเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในธุรกิจโฆษณาออนไลน์ของเรา”
นายไมเคิลได้กล่าวเสริมอีกว่า ReverseAds ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นทางเลือกให้กับนักการตลาดทั่วโลกสำหรับการทำโฆษณาออนไลน์ โดย ReverseAds จะขยายตลาดไปยังภูมิภาคยุโรปภายในปี พ.ศ. 2565 และตลาดภูมิภาคอเมริกาเหนือภายในปี พ.ศ. 2566 โดยได้ฝากเคล็ดลับถึงธุรกิจสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมโครงการแข่งขัน “Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition” ในปีนี้ว่า ให้นำเสนอธุรกิจของตัวเองให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา ในขณะเดียวกันก็ต้องนำเสนอให้กรรมการหรือนักลงทุนได้เข้าใจธุรกิจของตัวเองให้ได้มากที่สุด
อีกหนึ่งธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีความโดดเด่นเป็นอย่างยิ่งจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยพัฒนาด้านการศึกษาของประเทศไทยก็คือ School Bright ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารงานวิชาการของโรงเรียน ทั้งการกำหนดหลักสูตร แผนการเรียน คาบเรียน จัดตารางการเรียนการสอน ประเมินและวัดผลการเรียนของนักเรียน เพื่อช่วยส่งเสริมให้การศึกษาไทยมีประสิทธิผลมากขึ้น นำโดยนายนรินทร์ คูรานา ประธานกรรมการบริหาร School Bright ซึ่งได้แบ่งปันประสบการณ์การร่วมงานกับหัวเว่ยและโครงการ Huawei Spark program ว่า “School Bright ได้มีโอกาสร่วมงานกับหัวเว่ยที่เข้ามาช่วยพัฒนาทักษะการใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์ โดยนำเข้ามาบริหารระบบ เนื่องจากการศึกษามีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากและการเข้าใช้งานพร้อมกันในเวลาเดียว การจัดการระบบจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่เทคโนโลยีคลาวด์ของหัวเว่ยทำให้ระบบของ School Bright มีความเสถียร เราสามารถพูดได้ว่าเทคโนโลยีคลาวด์จากหัวเว่ยเป็นหัวใจสำคัญสำหรับ School Bright รวมไปถึงแผนขั้นต่อไปในการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ สุดท้ายนี้ ผมขอฝากถึงสตาร์ทอัพที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขัน ต้องนำเสนอธุรกิจให้กรรมการหรือนักลงทุนได้เห็นถึงความตั้งใจ และการลงมือทำจริงของตัวคุณเอง”
หัวเว่ยยังคงสนับสนุนสตาร์ทอัพเทคโนโลยีในไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่มีทั้งศักยภาพและความกล้าทะลุขีดจํากัด เข้าร่วมมือกับหัวเว่ยในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจให้เป็นจริงรวมทั้งยกระดับศักยภาพของตัวเอง โดยผู้ชนะในการแข่งขันนี้ นอกจากจะได้รับเครดิตคลาวด์มูลค่า 125,000 เหรียญสหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยมูลค่ากว่า 4,500,000 บาท) และได้เข้าร่วมโครงการฝึกอบรมเพิ่มเติม Huawei Spark ที่ต่างประเทศแล้ว ยังจะได้รับโอกาสในการทํางานร่วมกับหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีชั้นนําของโลกเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และสตาร์ทอัพไปสู่อีกระดับและเข้าสู่แพลตฟอร์มระดับโลก เพื่อเป็นการตอบโจทย์พันธกิจของหัวเว่ยในการ “เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย และร่วมสนับสนุนประเทศไทย” รวมทั้งเพื่อช่วยสร้างประเทศไทยในยุคดิจิทัลที่ชาญฉลาด ยั่งยืน และเชื่อมต่อถึงกันอย่างสมบูรณ์แบบในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ สามารถติดตามรายละเอียดของโครงการแข่งขัน “Spark Ignite 2022 - Thailand Startup Competition” ได้ที่ https://www.huaweispark.com/en/challenges/sparkignite2022