สวัสดีครับ บทความนี้ผมจะขอพาทุกคนมาพบกับ Infinix INBOOK X2 แล็ปท็อปราคาประหยัดในราคาเริ่มต้น 12,990 บาท สำหรับรุ่น Intel Core i3-1005G1 ที่มาพร้อมกับสีสันให้เลือกหลากสีตามความชอบของแต่ละคน โดยรีวิวนี้เป็นโมเดล Intel Core i5-1035G1 แรม 8GB เนื้อที่ภายใน 512GB มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 18,990 บาทครับ
สำหรับใครที่ไม่สะดวกอ่านบทความ สามารถรับชมในรูปแบบวิดีโอด้านบนนี้ได้เลยครับ
- In The Box -
ภายในกล่องของ Infinix INBOOK X2 จะประกอบไปด้วย ตัวเครื่อง Infinix INBOOK X2, อแดปเตอร์ชาร์จ 45W ผ่าน USB-C, สายชาร์จ USB-C to C, และคู่มือกับใบประกัน
อแดปเตอร์ 45W ภายในกล่องของ Infinix INBOOK X2 สามารถที่จะชาร์จไฟกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสบายใจเพราะสามารถปล่อยกำลังไฟตั้งแต่ 5V 3A = 15W, 9V 3A = 18W, 12W 3A = 27W, 15V 3A = 36W, 20W 2.25A = 45W สะดวกขึ้นสำหรับการพกพาไปไหนต่อไหน สามารถชาร์จสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตของเราได้อีกด้วย
- Design -
อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ Infinix INBOOK X2 น่าสนใจคือการดีไซน์แล็ปท็อปให้แตกต่างจากแล็ปท็อปที่จำหน่ายอยู่ในช่วงราคาเดียวกันตรงที่การเลือกใช้วัสดุของบอดี้เป็นอลูมิเนียมที่มีความทนทานและพรีเมี่ยมกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ที่จะเลือกใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นพลาสติก และยิ่งไปกว่านั้นเลยคือสีสันของ Infinix INBOOK X2 ที่มีให้เลือกหลากหลายเหมาะกับไลฟสไตล์ของใครแต่ละคนด้วยเฉดสี 4 สี คือ เทา, น้ำเงิน, แดง และเขียว
ในส่วนของหน้าจอ Infinix INBOOK X2 มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ 14" ในอัตราส่วน 16:9 ความละเอียด Full HD แพแนลหน้าจอแบบ IPS ให้มุมมองการรับชมที่กว้างถึง 178 องศา และมีความสว่างหน้าจอสูงสุดถึง 300 nits นอกจากนี้หากใครที่เป็นสายทำงานด้านภาพ INBOOK X2 มีค่ามาตรฐานสีจอในระดับ sRGB 100% เลยทีเดียว
เมื่อเรามองที่ขอบจอด้านบน เราจะเจอกับเซนเซอร์สำหรับการทำงานต่างๆ เรียงจากซ้ายมาขวาดังนี้ ไมโครโฟน, ไฟ LED, กล้อง HD 720P, ไฟ LED และ Ambient Light Sensor
สำหรับมุมมองในการใช้งาน INBOOK X2 นั้นสามารถกางหน้าจอได้กว้างสุดอยู่ที่ 135 องศา ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในแต่ละสถานการณ์ได้อย่างพอดี ทั้งการวางทำงานบนโต๊ะ หรือจะวางไว้ที่ขาเราในช่วงขณะเดินทางแล้วต้องใช้งานแล้ปท็อปไปด้วยก็สามารถมองหน้าจอได้ถนัดตลอดเวลา
ด้วยความที่ INBOOK X2 เป็นแล้ปท็อปที่มีหน้าจอขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ทำให้ใช้งานพื้นที่สำหรับคีย์บอร์ดและทัชแพดได้อย่างคุ้มค่าจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทัชแพดขนาดใหญ่รองรับการใช้งาน Multi-Touch ตอบสนองที่ลื่นไหล ลากนิ้วได้สบายมือกันเลยทีเดียวครับ
รวมไปถึงคีย์บอร์ดของ INBOOK X2 นั้นมีไฟ Backlit ที่สามารถปรับระดับความสว่างได้ 2 ระดับ ทำให้เราสามารถพิมพ์งานได้สะดวกในทุกสภาพแสง หากเรามองแล็ปท็อประดับเริ่มต้นรุ่นต่างๆ มาก่อนเราจะเจอกับคีย์บอร์ดที่ไม่มีไฟ Backlit ติดตั้งมาให้กันส่วนใหญ่ จุดนี้ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ INBOOK X2 นอกจากวัสดุตัวเครื่องที่เป็นอลูมิเนียมเลยครับ
พอร์ตการเชื่อมต่อทางฝั่งซ้ายมาพร้อมกับพอร์ต HDMI 2.0, USB 3.0, USB-C สำหรับรับ-ส่งข้อมูลและรองรับการชาร์จผ่าน PD 3.0 ง่าย สะดวกต่อใช้งานร่วมกับิแดปเตอร์ยอดนิยมรุ่นต่างๆ ในยุคนี้
พอร์ตการเชื่อมต่อฝั่งขวามาพร้อมกับพอร์ต USB 3.0, Audio Jack 3.5มม., USB-C, และ micro SD Card Slot ทำให้ INBOOK X2 นั้นมีพอร์ตสำหรับการใช้งานแทบจะครบต่อการทำงานเลยก็ว่าได้ครับ โดยส่วนผมคิดว่า หากเปลี่ยนจาก micro SD Card Slot เป็นช่อง SC Card แบบทั่วไปสำหรับต่อใช้งานกับกล้องได้จะทำให้ INBOOK X2 เป็นแล็ปท็อปอีกรุ่นที่ตอบโจทย์สำหรับสายตกแต่งภาพในราคาประหยัดมากขึ้นไปอีกครับ
ด้านล่างของ Infinix INBOOK X2 มาพร้อมกับลำโพงคู่ซ้าย-ขวา ที่มากับระบบเสียง DTS Audio เพิ่มอรรถรสในการฟังเพลงหรือรับชมภาพยนตร์ไปอีกระดับครับ
ด้านบนตรงกลางของด้านหลังเครื่องเราจะเจอกับพัดลมระบายความร้อนเพียงหนึ่งตัวเท่านั้น ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานและการทำงานทั่วไปโดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาความร้อนสูง ด้วยระบระบายความร้อน ICE STORM 1.0 ช่วยให้โปรเซสเซอร์กระจายความร้อนเร็วขึ้น ทำให้ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
ถึงแม้ว่า Infinix INBOOK X2 จะมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ถึง 14" หรือจะเป็นการเลือกใช้วัสดุตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมก็ตามที แต่น้ำหนักของ INBOOK X2 กลับมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.24 กิโลกรัม ทำให้สะดวกต่อการถือเดินทางเป็นระยะเวลานานก็ตาม
อย่างที่บอกไปข้างต้นครับ รุ่นที่ผมนำมารีวิว ณ วันนี้ มาพร้อมกับสเปกตัวเครื่องที่ถือว่าทำงานทั่วไป ได้อย่างลื่นไหลสบาย หรือจะเปิดโปรแกรมหลายหน้าพร้อมกันในการทำงานก็ราบรื่นด้วย Intel Core i5-1035G1 แรม 8GB DDR4 Dual-Channel