เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละออง (air quality monitoring box) ของบ๊อช อุปกรณ์สำคัญที่ยืนยันแนวความคิดของโครงการวิจัย “บ้านสู้ฝุ่น” |
บ๊อช เดินหน้าช่วยเหลือการแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศในประเทศไทย สนับสนุนโครงการวิจัย “บ้านสู้ฝุ่น” โครงการบ้านต้นแบบที่ริเริ่มโดย สภาลมหายใจเชียงใหม่ ในการจัดการพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นภายในครัวเรือนเพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็กในจังหวัดเชียงใหม่ หนึ่งในพื้นที่ที่ประสบปัญหามลภาวะทางอากาศรุนแรงที่สุดจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย โดยมีเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละออง (air quality monitoring box) ของบ๊อช เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยยืนยันผลวิจัยของโครงการ มอบข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ จากการประมวลผลด้วยเซนเซอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งนับเป็นข้อมูลสำคัญที่จะช่วยต่อยอดไปสู่การคิดค้นและปรับใช้มาตการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศได้
บ๊อช ได้ดำเนินการติดตั้งเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองในบริเวณชุมชนหมื่นสาร ในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา เพื่อวัดค่าคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระดับปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในบริเวณพื้นที่รอบชุมชนหมื่นสาร นอกจากนั้น บ๊อช ยังได้ร่วมมือกับ ศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการสนับสนุนการติดตั้งเครื่อง “DustBoy” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็กด้วยระบบเซ็นเซอร์ที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในครัวเรือนอาสาสมัครในชุมชนหมื่นสารที่เข้าร่วมโครงการ “บ้านสู้ฝุ่น” และมีการจัดการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นที่มีคุณสมบัติในการดูดซับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองของบ๊อช สามารถเก็บข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศในพื้นที่วิจัยแบบเรียลไทม์ เพื่อนำมาวิเคราะห์ และช่วยให้นักวิจัยสามารถระบุได้ว่าการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นบางชนิดสามารถดูดซับฝุ่นละอองขนาดเล็กในบริเวณนั้น ๆ ได้มากน้อยอย่างไร ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า พืชพรรณบางชนิดที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น มีลักษณะของใบเรียวเล็ก ผิวหยาบ มีขน และเหนียว มีลำต้นและกิ่งก้านพันกันสลับซับซ้อน และพืชที่มีใบขนาดเล็กจำนวนมาก สามารถช่วยดูดซับมลพิษทางอากาศได้ ผลการศึกษาวิจัยนี้ยังสามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อลดผลกระทบจากปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีอากาศที่ดีขึ้นและสามารถมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนคนไทยได้
โจเซฟ ฮง กรรมการผู้จัดการ บ๊อช ประเทศไทย และประเทศลาว กล่าวว่า “บ๊อซ ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนวัตกรรมที่จะช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองของบ๊อชนับเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ปัญหามลพิษทางอากาศเป็นหนึ่งในปัญหาที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้คนและสภาพแวดล้อม ผมจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่นวัตกรรมของบ๊อชสามารถช่วยสนับสนุนการสร้างอนาคตที่มาพร้อมอากาศบริสุทธิ์ให้เป็นจริงได้”
รศ.ดร. สมพร จันทระ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “ภายใต้ความร่วมมือกับ บ๊อช ทำให้เราเข้าถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยติดตามสถานการณ์ค่าดัชนีคุณภาพอากาศในบริเวณที่กำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยให้เราสามารถศึกษาและบอกได้ว่าการปลูกพรรณไม้สู้ฝุ่นมีส่วนช่วยทำให้คุณภาพอากาศในบริเวณนั้น ๆ ดีขึ้นได้มากน้อยอย่างไร”
สุรีรัตน์ ตรีมรรคา รองประธานคณะกรรมการอำนวยการ สภาลมหายใจเชียงใหม่ กล่าวว่า “โครงการ “บ้านสู้ฝุ่น” มีเป้าหมายที่สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันควบคุมปัญหามลพิษทางอากาศ หากทุกภาคส่วนช่วยกันแล้ว เราจะสามารถตระหนักและรับรู้ถึงปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้เมืองเชียงใหม่กลับมาเป็นเมืองที่น่าอยู่อีกครั้ง”
เทคโนโลยีของบ๊อชช่วยเมืองบรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
หนึ่งในก้าวแรกที่สำคัญสู่การจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ คือ การเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกของดัชนีคุณภาพอากาศและค่าฝุ่นละอองจากหลากหลายพื้นที่อย่างสะดวกและรวดเร็ว เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองของบ๊อชเป็นโซลูชันที่เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองและอุตสาหกรรม กล่องเครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณฝุ่นละอองซึ่งมีขนาดกะทัดรัดของ บ๊อช ควบรวมความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซนเซอร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถวัดค่าดัชนีคุณภาพอากาศได้อย่างน่าเชื่อถือและเป็นปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงข้อมูลมลพิษทางอากาศอย่างฝุ่นละอองขนาดเล็ก และพารามิเตอร์ด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสามารถส่งข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศที่วัดได้ไปยังระบบคลาวด์ของบ๊อชอย่างต่อเนื่อง เพื่อวิเคราะห์และประมวลผลด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence - AI)
มลภาวะทางอากาศส่วนใหญ่ มาจากภาคการขนส่งทางถนน
ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเดือนพฤษภาคม 2564 แสดงให้เห็นว่า แหล่งที่มาหลักของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมาจากภาคการขนส่งทางถนน ในขณะที่สาเหตุหลักของควันพิษอันตรายในภาคเหนือของประเทศไทยมาจากการเผาไหม้ชีวมวลแบบระบบเปิด รวมถึงการทำเกษตรกรรมแบบถางโค่นและเผาป่า อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงอัตราการขยายตัวของเมือง (Urbanization) และการเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองใหญ่อย่างจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย ทำให้ความต้องการด้านการขนส่งและการเดินทางเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่า ภาคการขนส่งทางถนนเป็นแหล่งที่มาหนึ่งของของฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ได้เช่นกัน ดังนั้น การลดมลพิษจากภาคขนส่งทางถนนจึงถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
บ๊อช มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการลดการปล่อยมลภาวะให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การดำเนินงานด้วยเทคโนโลยีแบบเปิดทำให้บ๊อชนำเสนอระบบส่งกำลังทางเลือกที่หลากหลายเพื่อการขับเคลื่อนที่ประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น เทคโนโลยีอื่น ๆ ของบ๊อชที่สามารถช่วยลดมลภาวะทางอากาศ อาทิ ระบบเบรกที่ช่วยลดฝุ่นละอองบนท้องถนน ระบบขับเคลื่อนที่เชื่อมต่อถึงกันเพื่อการจัดการจราจรบนท้องถนนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
“บ๊อช เป็นผู้ร่างอนาคตของเทคโนโลยีแห่งการขับเคลื่อนที่สอดคล้องไปกับทิศทางการขยายตัวของสังคมเมืองทั้งในประเทศไทย และในระดับโลก การขับเคลื่อนต้องมาพร้อมกับความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความยั่งยืน รวมไปถึงสามารถปกป้องชีวิตและสุขภาพของเราได้ ความยั่งยืนเป็นแนวคิดหลักของผลิตภัณฑ์ของบ๊อช บ๊อชพัฒนานวัตกรรมระบบส่งกำลังที่มีความหลากหลาย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยปรับปรุงคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น เรามุ่งมั่นในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้คนอย่างยั่งยืน” ฮง กล่าวเสริม