Galaxy Z Flip3 5G ปรับโฉมดีไซน์ให้มีความชิค กับจอด้านนอกโฉมใหม่ขนาดใหญ่กว่าเดิม ทำให้ดูการแจ้งเตือนหรือข้อความต่างๆ รวมถึงการสแนปภาพหรือถ่ายวิดีโอได้อย่างรวดเร็วแม้อยู่ในโหมดพับด้วยฟีเจอร์ Quick Shot หรือจะสัมผัสประสบการณ์การใช้งานกล้องสมาร์ทโฟนในรูปแบบใหม่ผ่านการใช้งาน Flex mode เมื่อกางออกเพื่อใช้ถ่ายเซลฟี่ในมุมที่เก๋มากขึ้นก็ทำได้ด้วยเช่นกัน โดย Galaxy Z Flip3 5G มาพร้อมอัตรารีเฟรชเรท 120Hz ที่สามารถปรับได้โดยอัตโนมัติตามลักษณะการใช้งาน และดีไซน์ที่จะมาเสริมทุกสไตล์ให้โดดเด่นด้วยตัวเลือก 4 สี สุดโมเดิร์น ได้แก่ สีครีม, สีเขียว, สีม่วงลาเวนเดอร์ และ สีดำ Phantom Black และเลือกแมทช์สีพิเศษ อย่าง สีเทา, สีชมพู และสีขาว ได้ด้วยตนเองผ่าน Samsung.com โดยวางจำหน่ายในราคา 34,900 บาท (128GB) และ 36,900 บาท (256GB)
Galaxy Buds2 หูฟังไร้สายที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาที่สุดเพียงแค่ 5 กรัม ซึ่งมาพร้อมกับดีไซน์โค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อมอบความสบายให้กับผู้ใส่ รวมถึงยังสามารถทำงานและเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และสมาร์ทวอทช์ในอีโคซิสเต็มของซัมซุงกาแลคซี่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการฟังเพลง โทรศัพท์ หรือประชุมออนไลน์ โดย Galaxy Buds2 มอบเสียงคมชัด เบสนุ่มลึกและเสียงสูงที่ชัดเจนด้วยลำโพง ไดนามิกระบบ 2 ทิศทาง พร้อม Active Noise Canceling ที่ช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอกได้สูงสุดถึง 98% ในขณะเดียวกัน หากต้องการได้ยินเสียงบรรยากาศโดยรอบ ก็สามารถเลือกปรับ Ambient Sound ได้ถึง 3 ระดับ พร้อมสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 29 ชั่วโมง และชาร์จไว 5 นาที ก็ใช้งานได้นานถึง 60 นาที โดยวางจำหน่ายในราคา 3,990 บาท ในตัวเลือก 3 สี ได้แก่ Graphite , Olive และ Lavender พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมสุดเก๋อีกมากมาย
Galaxy Watch4 Series ครั้งแรกของสมาร์ทวอทช์ที่ให้ผู้ใช้สามารถวัดองค์ประกอบของร่างกาย (Body Composition) ได้ด้วยวิธีที่สะดวกสบาย ทราบเปอร์เซ็นต์ไขมัน มวลกล้ามเนื้อ ปริมาณน้ำในร่างกาย และสิ่งอื่นๆ ได้แบบเรียลไทม์ พร้อมยังถือเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นแรกที่มามอบประสบการณ์การเชื่อมต่อระหว่างสมาร์ทวอทช์และสมาร์ทโฟนที่ดียิ่งขึ้น ผ่านการติดตั้งแอปพลิเคชันเดียวกับที่ผู้ใช้งานดาวน์โหลดลงบนสมาร์ทโฟนโดยอัตโนมัติ รวมถึง Wear OS ที่จะทำให้ผู้ใช้เข้าถึงหลากหลายอีโคซิสเต็มได้อย่างง่ายดายจากสมาร์ทวอทช์บนข้อมือ ทั้งนี้ ด้วยฟีเจอร์ Auto Switch ยังทำให้หูฟังสามารถทำหน้าที่สลับการใช้งานระหว่างสมาร์ทโฟนและสมาร์ทวอทช์ได้ตามต้องการ รวมถึงผู้ใช้ยังสามารถควบคุมการใช้งานผ่าน Bixby voice, บริเวณขอบหน้าจอ และการควบคุมด้วยท่าทาง (Gesture Control) ได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ ด้านการทำงานก็เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยชิปเซ็ตแบบ 5nm ที่มีเป็นครั้งแรกในสมาร์ทวอทช์ ทำให้ CPU / GPU / RAM เร็วแรงมากขึ้น พร้อมด้วยความโดดเด่นในด้านการดูแลสุขภาพผ่านนวัตกรรมเซ็นเซอร์ BioActive พร้อมตรวจจับเสียงกรน วัดค่าออกซิเจนในเลือดขณะนอนหลับ ประเมินและให้คะแนนคุณภาพการนอนหลับ (Sleep Scores) ได้อีกด้วย
โดย Galaxy Watch4 มาพร้อมกับดีไซน์อันทันสมัยแต่คงไว้ซึ่งความเรียบง่าย พร้อมตัวเลือกของขนาดหน้าปัดที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว ได้แก่ หน้าปัดขนาด 40 มม. (BLT) ในสี Black และ Pink Gold วางจำหน่ายในราคา 7,990 บาท (BLT) และหน้าปัดขนาด 44 มม. มาในสี Black และ Green ราคา 8,990 บาท (BLT) และ 10,900 บาท (LTE) ในขณะที่ Galaxy Watch4 Classic ได้ออกแบบมาเพื่อผู้ที่แสวงหาความคลาสสิกเหนือกาลเวลา ด้วยรูปลักษณ์หน้าปัดแบบหมุนที่หลายคนชื่นชอบ ซึ่งวางจำหน่ายในรุ่นหน้าปัดขนาด 46 มม. กับตัวเลือกสี Black และ Silver ในราคา 11,900 บาท (BLT) และ 13,900 บาท (LTE) ในตัวเลือกสี Black