4 วิธีเลือกแล็ปท็อปสไตล์คนคูล อัปเกรดทั้งงานทั้งลุคในยุคดิจิทัล

ปกติเวลานึกอยากลุกขึ้นมาปรับลุคให้ดูดี เราก็มักจะนึกถึงเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือเคสโทรศัพท์ ไปจนถึงสายคล้องหน้ากากอนามัย แต่ในยุคดิจิทัลแบบนี้ที่เราต้องพร้อมทำงานและเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ทุกที่ทุกสถานการณ์ นอกจากสมาร์ทโฟนและสมาร์ทแก็ดเจ็ต อีกหนึ่งอุปกรณ์ไอทีที่คนนิยมพกติดตัวจนเป็นเสมือนอีกเครื่องประดับเสริมลุคไปในตัวก็คือ “แล็ปท็อป” นั่นเอง ดังนั้น ขอเพียงแค่เลือกแล็ปท็อปให้ตอบโจทย์การใช้งานและบ่งบอกความเป็นตัวเรา ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนลุคเป็นคนคูลๆ ได้ วันนี้เลยจะขอชวนมาดู Tips 4 ข้อง่ายๆ ว่าเลือกแล็ปท็อปที่เราต้องพกติดตัวทุกวันอย่างไร ให้กลายมาเป็นไอเทมสุดคูลประจำกายที่จะช่วยอัปเกรดทั้งลุค เสริมประสิทธิภาพการทำงาน และยกระดับไลฟ์สไตล์ให้ดีขึ้นได้ในทุกมิติ


1. เลือกขุมพลังให้พร้อมลุยงานหนัก คีปคูลได้ไม่ว่าเจอโจทย์ไหน

ในแต่ละวันของการทำงาน เรามักเจอโจทย์ให้ต้องผลิตงานหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเหล่าฟรีแลนซ์ที่บ้างก็ต้องเขียนบทความ บ้างก็ต้องแต่งรูปภาพ ตัดต่อวิดีโอ อัปโหลดคอนเทนต์ขึ้นแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งต้องใช้สารพัดมัลติมีเดีย ดังนั้นแล็ปท็อปจึงควรจะพร้อมลุยงานหนัก โดยเลือกได้จากการใช้หน่วยประมวลผลหรือชิปเซ็ตที่แรงพอ และจะดีขึ้นไปอีกหากชิปเซ็ตสามารถประมวลผลได้อย่างทรงประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ประหยัดพลังงานและระบายความร้อนได้ดี เพราะปัจจัยเหล่านี้จะส่งเสริมและเกื้อหนุนกันอยู่เบื้องหลัง ให้ผู้ใช้สามารถลุยงานหนักบนแล็ปท็อปได้อย่างราบรื่น โดยอาจเลือกดูแล็ปท็อปที่ชิปเซ็ตเป็นรุ่นล่าสุดอย่าง 11th Gen Intel® Core™ processor ซึ่งมากับ HUAWEI MateBook 14 ซึ่งผู้ใช้ยังสามารถเลือกโหมดการใช้งานให้เหมาะกับแต่ละงานที่ทำได้ เพราะมีโหมด Standard ที่เหมาะกับการทำงานเอกสารธรรมดา และโหมด Performance ที่เหมาะกับการเปิดใช้โปรแกรมใหญ่ๆ โดยสามารถสลับระหว่างสองโหมดได้ง่ายๆ ด้วยการกด Fn+P

นอกจากนี้ เพื่อให้การประมวลผลเป็นไปอย่างทรงประสิทธิภาพสูงสุด HUAWEI MateBook 14 ยังพ่วงท่อระบายความร้อนแบบคู่และพัดลม HUAWEI Shark Fin 2.0 ที่มีใบพัดแข็งแรง สามารถระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นอีกด้วย ช่วยให้ใช้งานแล็ปท็อปต่อเนื่องยาวนานโดยที่เครื่องไม่ร้อน

2. เลือกหน่วยความจำให้เหลือใช้ เพราะเครื่องค้างแล้วจะไม่คูล

แล็ปท็อปที่จะตอบโจทย์การใช้งานของเหล่ามนุษย์ออฟฟิศคูลๆ ควรใช้หน่วยความจำขนาด 8 GB ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย (16 GB จะดีที่สุด ณ ยุคนี้) เพราะสิ่งที่ไม่คูลแน่ๆ คือเวลายุ่งกับสารพัดงานแล้วจู่ๆ หน้าจอก็ขึ้นข้อความว่า Not Responding แล้วคนไม่คูลก็ต้องนั่งแกร่ว รอให้โปรแกรมที่ทำงานอยู่ใช้ได้อีกครั้ง หากหน่วยความจำดีจะทำให้คุณเปิดโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างไหลลื่นและไม่ค้าง

 

และถ้าจะให้แอดวานซ์ไปอีกขั้นก็ต้องมาดูให้ละเอียดกันที่ RAM และ ROM การเลือก RAM จะต้องดูควบคู่กับค่า Frequency หรือ Bandwidth ของข้อมูลที่หน่วยความจำนั้นสามารถรับส่งข้อมูลไปยังชิปเซ็ต รวมไปถึง DDR หรือ Double Data Rate ที่จะช่วยดันประสิทธิภาพของหน่วยความจำให้รับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น ซึ่ง ณ ตอนนี้ DDR สูงสุดคือ DDR4 ความเร็วพื้นฐานอยู่ที่ 2133 MHz และสามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 4000 MHz อย่างเช่น HUAWEI MateBook 14 รุ่นชิปเซ็ต 11th Gen Intel® Core™ processor ใช้หน่วยความจำ 16 GB DDR4 3200MHz หมายความว่าเจ้าแล็ปท็อปตัวนี้สามารถรับส่งข้อมูลให้ชิปเซ็ตประมวลผลได้ถึง 3,200,000,000 Cycles ต่อวินาทีนั่นเอง

ส่วนฮาร์ดดิสก์หรือแหล่งเก็บไฟล์ต่างๆ ก็ควรเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะต้องพิจารณา ซึ่ง ROM ควรมีขนาดอย่างน้อย 512 GB ขึ้นไป เพื่อรองรับทั้งไฟล์งาน ไฟล์เพลง ไฟล์เกม ไฟล์ภาพ และแน่นอนสเปกของฮาร์ดดิสก์ก็สำคัญ ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนคือฮาร์ดดิสก์แบบ HDD เหมาะกับคนที่ต้องการเน้นอายุการใช้งานและต้องการราคาย่อมเยา ส่วนฮาร์ดดิสก์แบบ SSD สำหรับเหมาะกับคนที่เน้นความไว เล่นเกมได้ ประหยัดพลังงาน อย่างของ HUAWEI MateBook 14 ใช้ ROM 512GB NVMe PCIe SSD หมายความว่ามีความจุ 512GB และเป็นแบบ SSD ดังนั้นจึงช่วยให้แล็ปท็อปมีความไว เล่นเกมและเก็บข้อมูลปริมาณมากได้

3. เลือกให้มีฟีเจอร์ว้าวๆ ไม่เหมือนใคร สไตล์คนคูล

สมัยนี้แล็ปท็อปก็ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 กันทั้งนั้น คงมีบ้างที่จะตัดสินใจไม่ถูกว่าควรเลือกยี่ห้ออะไร รุ่นไหนขนาดที่ว่าเทียบชิปเซ็ตกับหน่วยความจำแล้วก็ยังเลือกไม่ถูกอยู่ดี คำถามที่ต้องถามในระหว่างตัดสินใจคือ “ตัวไหนมีฟีเจอร์ที่ไม่เหมือนคนอื่นบ้าง” ผู้รู้จะได้แนะนำโดยบอกกับเราได้ว่ายี่ห้อไหนมีจุดเด่นอะไรที่โดนใจเรา

 

ยกตัวอย่างเช่น คนที่ชอบการทำงานแบบ Multi-tasking อาจจะเคยจินตนาการว่าอยากมีจอคอมพิวเตอร์แบบในภาพยนตร์ Sci-Fi ที่ทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน คงน่าสนุกและเท่ไม่หยอก อันที่จริงแล็ปท็อปยุคนี้มีนวัตกรรมที่สามารถควบคุมสั่งการหลายหน้าจอได้พร้อมกันแล้ว ก็อาจจะเหมาะกับแล็ปท็อปของหัวเว่ยที่มีเทคโนโลยี HUAWEI Share ฟีเจอร์ที่ช่วยทำ Multi-screen Collaboration โดยนำจอสมาร์ทโฟนขึ้นมาแสดงบนจอแล็ปท็อปได้เพียงแตะตัวสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการล่าสุดคือ EMUI 10.1 ตรงบริเวณ Touchpad ล่าสุดได้ออกเวอร์ชัน 3.0 สามารถเปิดแอปพลิเคชันที่มีอยู่บนสมาร์ทโฟนให้ไปแสดงผลและใช้งานบนจอแล็ปท็อปแบบเรียลไทม์ได้มากถึง 3 แอปฯ 3 จอ ผู้ใช้ HUAWEI MateBook 14 ที่เป็นหน้าจอแบบ Multi-touch Screen ก็จะสามารถสนุกกับการแตะหน้าจอเพื่อเพิ่มหน้าต่างแอปฯ และลากข้อมูลต่างๆ ไปใช้หรือทำงานต่อบนเครื่องได้อย่างง่ายดาย


4. เลือกดีไซน์บ่งบอกความคูล สำหรับคนที่ไม่แน่นเรื่องสเปก นึกไม่ออกบอกไม่ถูกว่าเลือกอะไรดี

 สิ่งที่สามารถตัดสินได้ง่ายที่สุดสำหรับการเลือกแล็ปท็อปสุดคูล คือการเลือกแล็ปท็อปจากดีไซน์ โดย “ดีไซน์” ในที่นี้ไม่ใช่แค่ความเรียบหรูดูแพงอย่างเดียว แต่เป็นการออกแบบที่มาพร้อมความล้ำสมัย และให้ประโยชน์ได้มากพอๆ รูปลักษณ์ภายนอก หน้าจอที่นิยมกันในยุคนี้ควรให้ภาพเต็มตา เพื่อการทำงานและการเสพคอนเทนต์อย่างคมชัดเต็มอิ่ม รวมถึงการออกแบบปุ่มลัดต่างๆ ให้มีหน้าที่เฉพาะ ไม่ใช่แค่ให้ดูมินิมอลเท่านั้น อย่าง HUAWEI MateBook 14 ที่ใช้หน้าจอ 2K FullView Display แบบ Multi-touch Screen ขนาด 90% ของตัวเครื่อง ก็มาพร้อมปุ่ม Fingerprint Power Button ที่ใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือให้ผู้ใช้ล็อกอินเข้าเครื่องได้อย่างปลอดภัย รักษาข้อมูลส่วนตัวได้ เป็นหนึ่งตัวเลือกของแล็ปท็อปยุคใหม่ที่รูปลักษณ์โดดเด่นเท่าความไฮเทค

อีกปัจจัยง่ายๆ ที่พิจารณาได้คือเรื่องแบตเตอรี่และสายชาร์จ โดยเฉพาะเวลาดูซีรี่ส์ที่ติดหนึบจนต้องโต้รุ่ง ควรดูว่าแล็ปท็อปสามารถเล่นคอนเทนต์โดยยังไม่เสียบชาร์จได้กี่ชั่วโมง เผื่อไปนอนดูบนเตียงยาวๆ ถ้าดูได้ประมาณ 10 ชั่วโมงก็ถือว่าเหลือๆ แต่ถึงอย่างนั้นสายชาร์จก็ต้องพกง่ายไว้เผื่อฉุกเฉิน ซึ่งจะสะดวกยิ่งขึ้นหากสามารถใช้สายชาร์จ Type-C ที่ใช้ได้กับหลายอุปกรณ์ ไม่ว่าจะสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแล็ปท็อปด้วยกัน แถมน้ำหนักเบากว่าสายชาร์จยุคก่อนด้วย โดย HUAWEI MateBook 14 สามารถดูคอนเทนต์วิดีโอที่ความละเอียด 1080p ต่อเนื่องได้นานถึง 11 ชั่วโมง และยังใช้สายชาร์จ Type-C 65W และยังสามารถใช้แล็ปท็อปเป็นแหล่งเพลงงานชาร์จอุปกรณ์ Type-C อื่นแม้ในขณะปิดเครื่องอยู่ได้อีกด้วย

HUAWEI MateBook 14 สี Space Gray วางจำหน่ายในประเทศไทยแล้วในราคา 34,990 บาท โดยเปิดตัวพร้อมกับ HUAWEI MateBook D 15 และ HUAWEI MateBook D 14 ไปเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง
ใหม่กว่า เก่ากว่า